Search

หลักการควบคุมการกระทำปกครอง

การควบคุมก...

  • Share this:

หลักการควบคุมการกระทำปกครอง

การควบคุมการกระทำขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหารในฐานะฝ่ายปกครอง (Control actions of the organization as an administrative state) ในการจัดทำการบริการาสาธารณะนั้นมีแนวคิดการควบคุม การตรวจสอบหรือเรียกว่า "การควบคุมความชอบด้วยกฎหมาย" การใช้อำนาจของฝ่ายปกครองแบ่งกว้างๆ เป็น 2 ส่วน คือ ควบคุมแบบป้องกันหรือการควบคุมก่อนดำเนินการกับการควบคุมแบบแก้ไขหรือการควบคุมหลังดำเนินการ และการควบคุมการกระทำทางปกครองตามกฎหมายที่สำคัญ เช่น ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กับ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ดังนี้
1. แนวคิดการควบคุมการกระทำปกครอง
1. 1 การควบคุมแบบป้องกันหรือการควบคุมก่อนดำเนินการ
การควบคุมแบบป้องกันหรือการควบคุมก่อนดำเนินการ คือ การควบคุมในขั้นตอนตระเตรียมการก่อนที่องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในฐานะฝ่ายปกครองจะมีคำสั่งหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งการควบคุมในลักษณะนี้ ยังแยกได้ออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.1.1 การควบคุมโดยองค์กรของรัฐ
1.1.1.1 การควบคุมโดยองค์กรของรัฐที่มีอำนาจทั่วไป
การควบคุมโดยองค์กรของรัฐที่มีอำนาจทั่วไป ได้แก่ คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเข้าไปมีส่วนในการควบคุมฝ่ายปกครองได้ 2
ลักษณะ คือ
1.ตรวจสอบร่างกฎหมายต่างๆ ตามหลักความชอบด้วยกฎหมาย (ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมายแม่บท)
2.การให้ความเห็นทางกฎหมายแก่หน่วยงานของรัฐ การควบคุมของคณะกรรมการกฤษฎีกา มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทระหว่างฝ่ายปกครองกับประชาชน โดยการตรวจสอบร่างกฎหมายหรือการให้ความเห็นทางกฎหมายในขอบเขตทั่วไป มิได้จำกัดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ
1.1.1.2 การควบคุมโดยองค์กรของรัฐที่มีอำนาจเฉพาะเรื่อง
ในการจัดองค์กรฝ่ายปกครองตามพระราชบัญญัติฉบับต่างๆ มีการกำหนดให้มีคณะกรรมการตามพระราชบัญญัตินั้นๆ ให้มีอำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นทางกฎหมาย หรือเป็นองค์กรที่ให้คำปรึกษาแก่องค์กรฝ่ายปกครองที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินั้นๆ เช่น คณะกรรมการควบคุมอาคาร ที่ตั้งขึ้นตาม พรบควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มีอำนาจาหน้าที่ให้ความเห็นชอบก่อนที่จะมีการตรากฎหมายลำดับรอง หรือการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นหรือให้คำปรึกษาแนะนำแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นในการปฏิบัติตาม พรบ. เป็นการก่อให้เกิดผลในเชิงป้องกัน ช่วยมิให้เกิดข้อพิพาทระหว่างเจ้าพนักงานท้องถิ่นกับประชาชนคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เป็นต้น
1.1.2 การควบคุมโดยการให้ประชาชนมีส่วนร่วม
1.1.2.1 การห้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง
ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง มี 3 วิธี คือ
1. วิธีการโต้แย้ง โดยถือหลักว่า บุคคลที่อาจได้รับความเสียหายจากการกระทำของฝ่ายปกครอง ย่อมมีสิทธิโต้แย้งเพื่อป้องกันสิทธิของตน ถือเป็นหลักกฎหมายทั่วไป กำหนดไว้ใน พรบ.วิธีปฏิบัติฯ มาตรา 30
2. การปรึกษาหารือ โดยผ่านทางตัวแทนของกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบ เพื่อฝ่ายปกครองได้เก็บข้อมูลต่างๆ ไปประกอบการวินิจฉัยสั่งการ เป็นการควบคุมในเชิงป้องกัน
3.การไต่สวนสาธารณะ เป็นกระบวนการสอบถามผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงที่มีจำนวนมาก เพื่อจำกัดขอบเขตของความเสียหายหรือให้มีผลกระทบน้อยที่สุด และรัฐต้องวางตัวเป็นกลางในการรับฟังประชาพิจารณ์
1.1.2.2 การให้ประชาชนรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ
ให้ประชาชนรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ เป็นรากฐานของแนวคิดทางประชาธิปไตย การแสดงความคิดเห็นโดยปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง ท้ายสุดจะกลายเป็นเรื่องของอารมณ์ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มีฐานกฎหมาย 2 ฉบับ คือ
1. พรบ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้
2.พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างด้าว ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย อาจเป็นคู่กรณีตามนัยของ พรบวิธีปฏิบัติฯ มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลได้
1.1.2.3 การรับฟังเหตุผลในออกคำสั่งทางปกครองที่มีผลกระทบแก่ตน
พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 37 การบังคับต้องให้เหตุผลในการออกคำสั่งทางปกครอง ถือเป็นหลักประกันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่ง เพราะเป็นการประกันว่าเรื่องนั้นๆ จะได้รับการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างรอบคอบ การต้องให้เหตุผลในการออกคำสั่ง เป็นการตัดการใช้อำนาจตามอำเภอใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หลักการนี้สัมพันธ์กับหลักการกระทำทางปก่ครองต้องชอบด้วยกฎหมาย
1.2. การควบคุมแบบแก้ไขหรือการควบคุมหลังดำเนินการ
การควบคุมแบบแก้ไขหรือการควบคุมหลังดำเนินการ คือ การควบคุมในขั้นตอนภายหลังที่องค์กรของรัฐฝ่ายบริหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในฐานะฝ่ายปกครองออกคำสั่งหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งก่อให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อนหรืออาจเดือดร้อนเสียหาย การควบคุมในลักษณะนี้ ยังแยกได้ออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.2.1 การควบคุมโดยองค์กรภายในฝ่ายปกครอง
การควบคุมโดยองค์กรภายในฝ่ายปกครอง คือ การควบคุมโดยการบังคับบัญชา การควบคุมโดยการกำกับดูแล และการอุทธรณ์ภายในฝ่ายการปกครอง

1.2.1.1 การควบคุมโดยการบังคับบัญชา
การควบคุมโดยการบังคับบัญชา เป็นกรณีที่ผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจทั่วไปอยู่เหนือผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายและความเหมาะสมของการกระทำต่างๆของผู้ใต้บังคับบัญชา และหากเห็นว่าการกระทำใดของผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่เหมาะสมแล้วแต่กรณี ผู้บังคับบัญชามีอำนาจที่จะดำเนินใดก็ได้ ตามความเหมาะสมภายในขอบเขตกฎหมายอำนาจของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อผู้ใต้บังคับบัญชานั้นประกอบด้วย
1. อำนาจเหนือบุคคลผู้ใต้บังคับบัญชา
1) อำนาจแต่งตั้งโยกย้ายกำหนดให้ดำรง
ตำแหน่ง
2) อำนาจในความดีความชอบ
3) อำนาจในการลงโทษทางวินัย
2. อำนาจเหนือการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชา
1) อำนาจสั่งการให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
2) อำนาจสั่งการแก้ไขการกระทำที่ไม่ชอบ
3) อำนาจกระทำการแทนในการกรณีผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติหน้าที่



1.2.1.2 การควบคุมโดยการกำกับดูแล
การควบคุมโดยการกำกับดูแล เป็นกรณีที่กฎหมายให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนกลางหรือองค์กรปกครองส่วนภูมิภาคตรวจสอบการกระทำขององค์กรต่างๆดังต่อไปนี้
1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้แก่ องค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์กรบริหารส่วนตำบล เมืองพัทยา กรุงเทพมหานคร
2. บรรดารัฐวิสาหกิจ ที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือโดยพระราชกฤษฎีกา เช่น การไฟฟ้านครหลวง การท่าอากาศยาน แห่งประเทศไทย องค์การรถไฟมหานคร องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ฯลฯ เป็นต้น
3. องค์การมหาชน ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเฉพาะ หรือจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542
4. หน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือดำเนินกิจการทางปกครอง เช่น สภาทนาย สภาวิศวกร เป็นต้น
ข้อสังเกต การควบคุมโดยการบังคับบัญชาการควบคุมโดยกำกับดูแลมีความแตกต่างกันในสาระสำคัญอยู่ 2 ประการคือ
ประการแรก อำนาจของผู้บังคับบัญชาที่จะควบคุมการกระทำของผู้บังคับบัญชานั้นเป็นอำนาจทั่วไปที่เกิดขึ้นจากการจัดระเบียบภายในหน่วยงาน ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายบัญญัติให้ไว้โดยเฉพาะ แต่อำนาจผู้กำกับดูแลที่จะควบคุมการกระทำของผู้ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตนนั้น เป็นอำนาจที่มีกฎหมายบัญญัติให้ไว้โดยเฉพาะและผู้กำกับดูแลจะใช้อำนาจควบคุมเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนดให้ไว้ไม่ได้
ประการที่สอง ผู้บังคับบัญชามีอำนาจควบคุมตรวจสอบการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาของตนได้ทั้งในแง่ของความชอบด้วยกฎหมายและในแง่ของความเหมาะสม แต่ผู้กำกับดูแลมีอำนาจควบคุมตรวจสอบการกระทำของผู้อยู่ใต้การกำกับดูแลของตนได้ก็เฉพาะแต่ในแง่ของความชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จะก้าวล่วงเข้าไปควบคุมตรวจสอบความเหมาะสมของการกระทำไม่ได้
1.2.1.3 การอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครอง
การอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครอง การกระทำทางปกครองในการจัดทำการบริการสาธารณะที่เป็นคำสั่งทางปกครองนั้นคู่กรณี ซึ่งหมายถึง ผู้ยื่นคำขอหรือผู้คัดค้านคำขอ ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครองและผู้ซึ่งได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเนื่องจากสิทธิของผู้นั้นจะถูกกระทบกระเทือนจากผลของคำสั่งทางปกครอง มีสิทธิอุทธรณ์โต้แย้งการกระทำทางปกครองดังกล่าวได้ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แยกออกได้ 2 ลักษณะ ดังนี้
1. อุทธรณ์ตามกฎหมายเฉพาะ ซึ่งจะกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะแตกต่างกันไป มีการกำหนดผลการวินิจฉัยไว้ ซึ่งอาจกำหนดให้เป็นที่สุด หรือให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาลภายในเวลาที่กำหนด
2. อุทธรณ์ตามกฎหมายกลาง พรบ.วิธีปฏิบัติฯ มาตรา 44 ให้อุทธรณ์ต่อผู้มีคำสั่งภายใน 15 วัน มาตรา 45 วรรคแรก ให้อุทธรณ์ต่อผู้พิจารณาภายใน 30 วัน มาตรา 45 วรรคสอง ถ้าผู้มีคำสั่งไม่เห็นด้วยก็จะส่งเรื่องต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาอุทธรณ์ต่อไป (ภายใน 30 วัน ต่อเวลาได้อีก 30 วัน
กฎหมายที่กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งทางปกครองอาจเป็นกฎหมายฉบับที่ให้อำนาจออกคำสั่งทางปกครองนั้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ากฎหมายฉบับใดไม่ได้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งทางปกครองไว้ ก็ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ซึ่งเป็นกฎหมายกลาง คือ ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีและไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว คำอุทธรณ์ต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วย
1.2.1.4 การควบคุมโดยคณะกรรมการวินิจฉัจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท
สรุปจากหลักเกณฑ์ของฝรั่งเศสและอังกฤษ ได้ 2 หลัก
คือ
1. หลักเกณฑ์ทางด้านองค์กรและวิธีพิจารณา
1) ต้องเป็นองค์กรกที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมาย
และมีความเป็นอิสระ
2)องค์ประกอบของคณะกรรมการต้องเป็น
องค์กรกลุ่ม
3) มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท มิใช่เป็น
การให้ความเห็นทางกฎหมาย
4) มีวิธีพิจารณาคดีสำหรับวินิจฉัยข้อพิพาท
2. หลักเกณฑ์ด้านอำนาจหน้าที่
1) วินิจฉัยข้อพิพาทที่เกิดจากการออกคำสั่ง
ทางปกครองทั่วไป
2) ชี้ขาดในเรื่องวินัย
3) ชี้ขาดในเรื่องวิชาชีพประเทศไทย มี
หลักเกณฑ์ในการจัดตั้งองค์กร
(1)ต้องมีลักษณะเป็นองค์กลุ่มหรือ
คณะบุคคล
(2)จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย (ไม่ต่ำกว่า
ระดับ พรบ. เพื่อป้องกันฝ่ายบริหารแทรกแซง)
(3)มีความเป็นอิสระ
(4)มีวิธีพิจารณา
(5)มีสภาพบังคับในตัวเอง
(6)มีภารกิจในการวินิจฉัยข้อพิพาท
หลักเกณฑ์ด้านวิธีพิจารณา คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทของไทยจะมีเพียงบางคณะกรรมการเท่านั้นที่มีวิธีพิจารณา คณะกรรมการฯ จึงต้องคำนึงถึงหลักใน พรบ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ได้แก่ หลักการไต่สวน หลักความเป็นกลาง หลักการให้สิทธิโต้แย้ง หลักการรับฟังความจากทุกฝ่าย การจัดทำคำวินิจฉัย โดยจะถือว่าคณะกรรมกากรฯ นี้เปรียบเสมือนศาลปกครองชั้นต้น ซึ่งจะไม่เชื่อมกับมาตรา 11 พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารราคดีปกครอง พ.ศ.2542 ที่กำหนดว่า “ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลสูงจะประกาศกำหนดให้คดีพิอพาทเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมกากรวินิจฉัยข้อพิพาท อยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลสูง”
1.2.2 การควบคุมโดยองค์กรภายนอกฝ่ายปกครอง
การควบคุมโดยองค์กรภายนอกฝ่ายปกครอง คือการควบคุมและตรวจสอบโดยทางการเมือง การควบคุมและตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ และการควบคุมตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการ ดังนี้
1. การควบคุมตรวจสอบโดยทางการเมือง ก็คือ การควบคุมตรวจสอบโดยองค์กรรัฐสภา ในการตั้งกระทู้ถาม และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี)
2. การควบคุมตรวจสอบโดยองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เป็นการมอบหมายให้องค์กรอิสระดังกล่าว มีอำนาจในการควบคุมและตรวจสอบภายในขอบเขตอำนาจขององค์กรนั้นๆ ซึ่งองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ในการควบคุมตรวจสอบการทำงานของรัฐ (รัฐบาล) มี ดังนี้
1) องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ คือ คณะกรรมกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน
2) องค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ คือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เช่น ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ก็จะมีอำนาจในการควบคุมและตรวจสอบเรื่องการเงิน การคลังของหน่วยงานของรัฐต่างๆ เป็นต้น
3. การควบคุมตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการ เป็นการควบคุมและตรวจสอบที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นระบบการควบคุมและตรวจสอบที่ให้หลักประกันประชาชนมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ จึงมีการกล่าวกันว่ารัฐใดรัฐหนึ่งไม่อาจถือได้ว่าเป็น “นิติรัฐ” หากรัฐนั้นปราศจากการควบคุมและตรวจสอบโดยองค์กรตุลาการ ทั้งนี้องค์กรตุลาการมีความเป็นอิสระที่มีการประกันความเป็นอิสระของผู้พิพากษา องค์กรตุลาการจะเป็นการควบคุมการกระทำทางปกครองในการบริการสาธารณะของรัฐนั้นจะมีองค์กรตุลาการควบคุมและตรวจสอบการกระทำดังกล่าวเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้ความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจเดือดร้อนเสียหายในการกระทำทางปกครองในการจัดทำบริการสาธารณะคือ
1) ศาลยุติธรรมที่ควบคุมตรวจสอบการกระทำการบริการสาธารณะในกระบวนการยุติธรรมทางปกครองบางประเภทที่ได้กำหนดไว้ให้อยู่ในเขตอำนาจศาลยุติธรรม
2) ศาลปกครองที่ควบคุมตรวจสอบการกระทำทางปกครองในกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง คือ การควบคุมการกระทำทางปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองตามมาตรา 223 แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ประกอบ มาตรา 9 และ มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
2. กฎหมายที่ควบคุมการกระทำทางปกครอง
กฎหมายที่ควบคุการกระทำทางปกครองของไทยมีอยู่หลายฉบับด้วยกันแต่ที่มีความสำคัญที่จะกล่าวถึงนี้ 3 ด้วยกันดังนี้
2.1 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
กฎหมายที่ควบคุการกระทำทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 คือ ควบคุมการใช้อำนาจทางปกครองของฝ่ายปกครอง มีสาระสำคัญดังนี้
2.1.1 คำนิยามของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
ความหมายกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มีความหมายดังนี้
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง หมายถึง การเตรียมการและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครองหรือกฎ และรวมถึงการดำเนินการใดๆ ในทางปกครอง
เจ้าหน้าที่ หมายความว่า บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐหรือไม่ก็ตาม (มาตรา 5)
คำสั่งทางปกครอง (มาตรา 5) หมายความว่า
1.การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนระงับหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือเจ้าหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว การอนุมัติ การวินิจฉัย อุทธรณ์ การรับรองและการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึง กฎ
2.การอื่นที่กำหนดใน กฎกระทรวง ซึ่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 12 ออกตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ได้กำหนดให้การดังต่อไปนี้ เป็นคำสั่งทางปกครอง คือ การดำเนินการเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ในกรณีดังต่อไปนี้
1) การสั่งรับหรือไม่รับคำเสนอขาย รับจ้าง แลกเปลี่ยน ให้เช่าหรือให้สิทธิประโยชน์
2) การอนุมัติสั่งซื้อ จ้าง แลกเปลี่ยน เช่า ขาย ให้เช่า หรือให้สิทธิประโยชน์
3) การสั่ง ยกเลิกกระบวนการพิจารณาคำเสนอ หรือดำเนินการใดในลักษณะเดียวกัน
4) การสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงานและการให้หรือไม่ให้ทุนการศึกษา
ข้อสังเกต กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นเรื่องการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและการให้หรือไม่ให้ทุนการศึกษา
สรุป คำสั่งทางปกครอง
1.ต้องเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่
2.การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่กระทำการนั้น จะต้องมีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล คือ มีผลเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางสิทธิหน้าที่ระหว่างบุคคล (ก่อให้เกิดผลเฉพาะกรณี)
3.คำสั่งทางปกครองไม่ใช่ กฎ
4.คำสั่งทางปกครองไม่ใช่มาตรการภายในฝ่ายปกครอง คือ มีผลภายนอกโดยตรง
คู่กรณีในคำสั่งทางปกครอง หมายความว่า ผู้ยื่นคำขอหรือคัดค้านคำขอ ผู้อยู่ในบังคับหรือจะอยู่ในบังคับของคำสั่งทางปกครอง และผู้ซึ่งได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เนื่องจากสิทธิของผู้นั้นจะถูกกระทบกระเทือนจากผลคำสั่งทางปกครอง
กฎ หมายถึง พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบข้อบังคับ หรือ บทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
2.1.2 ขอบเขตแห่งการใช้บังคับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ขอบเขตของการใช้พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มีลักษณะสำคัญดังนี้
1. ความเป็นกลางของกฎหมาย เนื่องจากประเทศไทยมีกฎหมายปกครองหลายฉบับด้วยกัน ซึ่งแต่ละฉบับก็บัญญัติถึงวิธีปฏิบัติราชการทางการปกครองแตกต่างกัน การบัญญัติให้พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็นกฎหมายกลางที่จะเข้าไปแทนที่กฎหมายปกครองตางๆทั้งหมดเพื่อให้มีขั้นตอนเป็นเช่นเดียวกันหมด ซึ่งเป็นเทคนิคในการบัญญัติกฎหมายอย่างหนึ่งให้พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เป็นกฎหมายกลางหรือกฎหมายทั่วไปสำหรับการใช้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองขององค์กรเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
2.การออกคำสั่งตามพระราชบัญญัตินี้ จะต้องแสดงเหตุผลในการออกคำสั่ง ต้องประกอบด้วยดังนี้
1) ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ อันได้แก่
3.การออกคำสั่งทางปกครองตามกฎหมายเฉพาะทุกฉบับต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ คือ เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนได้เสียในการออกคำสั่ง จะออกคำสั่งทางปกครองในเรื่องนั้นมาใช้บังคับไม่ได้
ข้อสังเกต พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ฉบับนี้ไม่ใช้บังคับ 2 กรณี ดังต่อไปนี้
1. กรณีตามมาตรา 3 เป็นข้อยกเว้นไม่ให้พระราชบัญญัตินี้ไปใช้บังคับโดยพิจารณาจากเนื้อหาที่กฎหมายเฉพาะนั้นกำหนด มีอยู่ 4 กรณี ด้วยกัน
1) กฎหมายเฉพาะกำหนดหลักเกณฑ์ที่ประกันความเป็นธรรมไว้ไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัตินี้
2) กฎหมายเฉพาะกำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติราชการทางปกครองไว้ไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัตินี้
3) กฎหมายเฉพาะกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาหรือโต้แย้งไว้แตกต่างจากพระราชบัญญัตินี้
4) กฎหมายเฉพาะกำหนดมาตรการบังคับทางปกครองไว้
2. กรณีตามมาตรา 4 เป็นข้อยกเว้นไม่ให้พระราชบัญญัตินี้ไปใช้บังคับโดยพิจารณาตามประเภทขององค์กรและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ มีดังนี้
1)เรื่องที่เกี่ยวกับรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี
2.องค์กรที่ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ เช่น องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
3)การพิจารณาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีทางนโยบายโดยตรง
4)การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาคดี การบังคับคดีและการวางทรัพย์
5)การพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์และสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยคระกรรมการกฤษฎีกา
6)การดำเนินงานเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ
7)การดำเนินงานเกี่ยวกับราชการทหารหรือเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ทางยุทธการร่วมกับทหารในการป้องกันและรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกประเทศและภายในประเทศ
8)การดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
9)การดำเนินการขององค์กานทางศาสนา
2.1.3 การพิจารณาคำสั่งทางปกครอง
การพิจารณาทางปกครอง หมายถึง การเตรียมการและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง ดังนี้
2.1.4 หลักในการพิจารณาคดีปกครอง
หลักในการพิจารณาคดีปกครอง มีดังนี้
1. หลักการไม่ยึดแบบพิธี
2. หลักความรวดเร็วและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
(มาตรา 33)
3. หลักการใช้ภาษไทย (มาตรา 26)
4. หลักการพิสูจน์ความจริงและการควบคุมดูแลการพิจารณาโดยเจ้าหน้าที่ (มาตรา 28-29)
2.1.5 การกำหนดเงื่อนไขในคำสั่งทางปกครอง (มาตรา 39) สามารถพิจารณาดังนี้
1. การกำหนดให้สิทธิหรือภาระหน้าที่เริ่มมีผลหรือสิ้นผล ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง
2. การกำหนดให้การเริ่มมีผลหรือสิ้นผลของสิทธิหรือภาระหน้าที่ต้องขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคต
3. ข้อสงวนสิทธิที่จะยกเลิกคำสั่งทางปกครอง
4. การกำหนดให้ผู้ได้รับประโยชน์ต้องกระทำหรืองดเว้นกระทำหรือต้องมีภาระหน้าที่ หรือยอมรับหน้าที่หรือความรับผิดชอบบางประการหรือการกำหนดข้อความในการจัดให้มี เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มข้อกำหนดดังกล่าว
ตัวอย่างเช่น อนุญาตให้ปะกอบกิจการขนส่งผู้โยสารได้ แต่ต้องเอาประกันชีวิตผู้โยสารด้วย หรืออนุญาตให้ก่อสร้างอาคารชนิดหนึ่งได้ แต่ต้องจัดสรรที่จอดรถให้ได้จำนวนตามที่กำหนด เป็นต้น
2.1.6 กระบวนการหรือขั้นตอนในการออกคำสั่งทางปกครอง
กระบวนการหรือขั้นตอนในการออกคำสั่งทางปกครอง แยกออกได้ 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีเฉพาะเรื่องให้ได้ความยุติเสียก่อน
ขั้นตอนที่ 2 คือ การตีความหรือการหยั่งทราบความหมายของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ขั้นตอนที่ 3 คือ เอากฎหมายไปปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเฉพาะเรื่อง
ขั้นตอนที่ 4 คือ การตัดสินใจว่าสมควรออกคำสั่งหรือไม่ และถ้าออกคำสั่งควรจะออกคำสั่งโดยมีเนื้อหาสาระอย่างไร
ข้อสังเกต ระบบการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทางปกครองมีอยู่ 2 ระบบ คือ ระบบไต่สวนกับระบบกล่าวหา

2.1.7 การใช้ระบบไต่สวนในการพิจารณาคำสั่งทางปกครอง
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ระบบการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทางปกครองหรือการพิจารณาคำสั่งทางปกครองโดยใช้ระบบไต่สวน ดังนี้
1. สิทธิคู่กรณี สิทธิคู่กรณีในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง
คู่กรณีมีสิทธิ ดังนี้
1) สิทธิได้รับแจ้งผลกระทบต่อสิทธิ (มาตรา 30)
2) สิทธิมีทนายความและที่ปรึกษา (มาตรา 23)
3) สิทธิแต่งตั้งผู้ทำการแทน (มาตรา 24-25)
4) สิทธิได้รับคำแนะนำและได้รับแจ้งสิทธิหน้าที่ในกระบวนการพิจารณา (มาตรา 27)
5) สิทธิตรวจดูเอกสารของเจ้าหน้าที่ (มาตรา 31-32)
6) สิทธิได้รับการพิจารณาโดยรวดเร็ว
7) สิทธิได้รับทราบเหตุผลของคำสั่งทางปกครอง (มาตรา 37)
8) สิทธิได้รับแจ้งวิธีการอุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งทางปกครอง (มาตรา 40)
2.ข้อยกเว้นที่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับฟังคู่กรณีก่อนออกคำสั่งทางปกครอง ได้แก่
1) มีความจำเป็นเร่งด่วนหากปล่อยให้เนิ่นนานช้าไปอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
2) เมื่อจะมีผลให้ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ในการทำคำสั่งทางปกครองต้องล่าช้าออกไป
3) เมื่อมีข้อเท็จจริงที่คู่กรณีนั่นเองได้ให้ไว้ในคำขอ คำให้การหรือคำแถลงแล้ว
4) เมื่อโดยสภาเห็นได้ชัดว่าการรับฟังคู่กรณีไม่อาจกระทำได้
5) เมื่อคำสั่งทางปกครองนั้น เป็นมาตรการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองอีกฉบับหนึ่งที่ได้ออกมาก่อนหน้านั้น
6) กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
7) ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รับฟัง ถ้าจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะ
2.1.8 ประเภทของคำสั่งทางปกครอง
คำสั่งทางปกครองนั้นสามารถแยกประเภทของคำสั่งทางปกครอง อออก ได้ 3 ประเภทดังนี้ (มาตรา 34,35,36)
ประเภทแรก คือ คำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสือหรือเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างต้องระบุ วัน เดือน ปีที่ออกคำสั่ง ชื่อและตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่ง เป็นต้น
ประเภทที่สอง คือ คำสั่งทางปกครองที่ทำโดยวาจา
ประเภทที่สาม คือ คำสั่งทางปกครองที่ทำโดยการสื่อความหมายในรูปแบบอื่น สัญลักษณ์ หรือสัญญาณ
โดยคำสั่งทางปกครองนั้นจะต้องให้เหตุผลในการออกคำสั่งให้ผู้รับคำสั่งและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย
2.1.9 ผลของคำสั่งทางปกครอง (มาตรา 42)
คำสั่งทางปกครองให้มีผลใช้ยันต่อบุคคลตั้งแต่ขณะที่ผู้นั้นได้รับแจ้งเป็นต้นไป และยังมีผลบังคับใช้จนกว่าคำสั่งทางปกครองนั้นได้ปฏิบัติตามคำสั่งการสิ้นผลหรือมีการสั่งให้ยกเลิกเพิกถอนคำสั่งทางปกครองนั้น
2.1.10 มาตรการบังคับคำสั่งทางปกครอง (มาตรา 58)
เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งทางปกครองมีอำนาจใช้มาตรการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งของตน คำสั่งทางปกครองที่บังคับให้บุคคลกระทำการ ผู้รับคำสั่งไม่กระทำการมีมาตรการบังคับดังนี้ (มาตรา 57)
1. มาตรการให้ชำระเงิน (มาตรา 57)
2. มาตรการบังคับทางปกครองกรณีคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้กระทำหรือละเว้นกระทำ (มาตรา 58)
1) เจ้าหน้าที่ไปกระทำการแทนโดยคิดค่าใช้จ่ายจากเขา
2) ออกคำสั่งปรับเป็นรายวัน วันละไม่เกิน 20,000 บาท จนกว่าเขาจะลงมือกระทำการตามคำสั่งให้ถูกต้องครบถ้วนแล้วแต่จะเลือก
2.1.11 การแก้ไขเยียวความเสียหายที่เกิดจากคำสั่งทางปกครอง
การแก้ไขเยียวความเสียหายที่เกิดจากคำสั่งทางปกครอง มีได้ 2 กรณี ดังนี้
กรณีแรก คือ การเพิกถอนคำสั่งทางปกครอง
กรณีที่สอง คือ การชดใช้ค่าเสียหาย

2.2 พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

ความรับผิดของรัฐ อาจจะเกิดจากการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายเกิดจากการกระทำที่เป็นละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
2.2.1 จากการกระทำที่เกิดจากการกระทำละเมิด
การกระทำที่เป็นละเมิด คือ ซึ่งการกระทำความผิดในมูลละเมิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ความรับผิดที่เกิดจากมูลละเมิดมีตัวละครที่สำคัญอยู่ 3 ฝ่าย คือ
ฝ่ายแรก คือ ผู้เสียหาย
ฝ่ายที่สอง คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ฝ่ายที่สาม คือ ตัวรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ



2.2.2 ขอบเขตการใช้บังคับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
หลักทั่วไป เป็นกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ แยกพิจารณา 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่เป็นสารบัญญัติ คือ การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ ที่เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อธรรมดาหรือร้ายแรง ความรับผิดเป็นอย่างไร สิทธิไล่เบี้ยได้หรือไม่ อายุความเท่าไหร่
ส่วนที่เป็นวิธีสบัญญัติ คือการกำหนดวิธีการเช่นการตั้งคณะกรรมการสอบสวน การรายงานผู้บังคับบัญชา การส่งเรื่องให้หน่วยงานพิจารณา การสั่งว่าให้ใครต้องรับผิด ต้องมีการผ่อนผันชำระอย่างไร
2.2.3 หน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
หน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ มี 3 ประเภทได้แก่
1.ส่วนราชการหรือส่วนราชการอื่นที่มีฐานะเป็นกรม
2.รัฐวิสาหกิจตามพระราชบัญญัติและตามพระราชกฤษฎีกา
3.หน่วยงานของรัฐที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐ
เนื้อหาพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายฉบับนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ทำละเมิดต้องดูก่อนว่าเป็นละเมิดเนื่องจากการกระทำในหน้าที่หือการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
ถ้าไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ก็เรื่องส่วนตัวฟ้องศาลยุติธรรม
ถ้าเป็นการละเมิดที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยหลักแล้วต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐ ฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ คือ ให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าไม่พอใจก็ฟ้องศาลปกครองได้

2.2.4 ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่แยกพิจารณาได้ดังนี้
1.เจ้าหน้าที่จะรับผิดก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น
2.การไล่เบี้ยเอาจากเจ้าหน้าที่ แม้เจ้าหน้าที่จะจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ตาม ก็ไม่จำเป็นจะต้องไล่เบี้ยเต็มจำนวน
3.ไม่นำหลักมูลหนี้ร่วมมาใช้
2.2.5 ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ในการทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ในการทำละเมิด สามารถแยกพิจารณาได้ดังนี้
1.ผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ได้กระทำต่อบุคคลภายนอก (ซึ่งเป็นผู้เสียหาย) อาจเกิดจาก
1) การปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย โดยจะฟ้องให้เจ้าหน้าที่รับผิดไม่ได้ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดค่าเสียหาย หากค่าเสียหายที่ได้รับไม่พอใจในผลการวินิจฉัยของหน่วยงานของรัฐ ก็ให้มีสิทธิฟ้องสาลปกครองได้ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการละเมิดนั้นด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานของรัฐมีสิทธิเรียกไล่เบี้ยให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
2) ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐไม่ต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ผู้เสียหายฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่ฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้และยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ก็ไม่ได้
2.ผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ได้กระทำต่อหน่วยงานของรัฐเองอาจเกิดจาก
1) การปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐเป็นฝ่ายเสียหายเอง หน่วยงานของรัฐฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ เว้นแต่ เจ้าหน้าที่ได้กระทำการนั้นไปโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ถ้าเจ้าหน้าที่ได้กระทำการละเมิดนั้นไปด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานของรัฐมีสิทธิฟ้องให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
2) ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานของรัฐเป็นฝ่ายเสียหายเอง ฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง
ข้อสังเกต ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่จะฟ้องศาลปกครองได้ นั้นจะต้องมีหลักเกณฑ์ คือ ต้องเป็นการละเมิดที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
1.การใช้อำนาจตามกฎหมาย
2.การละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด
3.การปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า
หนังสือและเอกสาร วารสารอ่านประกอบ
ชาญชัย แสวงศักดิ์ “กฎหมายปกครอง” กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง
,2548
โภคิน พลกุล “รูปแบบและวิธีการควบคุมฝ่ายปกครอง” วารสารนิติศาสตร์ ฉบับที่ 1 ปีที่ 12,2524
วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาลปกครอง” กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์วิญญูชน ,2544
สุรพล นิติไกรพจน์ เอกสารประกอบการบรรยาย หลักสูตรความรู้ของพนักงานคดีปกครองสำหรับบุคคลทั่วไป “โครงสร้างฝ่ายปกครอง” วันที่ 30 พฤศจิกายน 2546 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts